วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

ร่วมพิธีในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2553
ได้รับเกียรติให้เชิญพานพุ่มในวันพ่อแห่งชาติ  ณ ศาลากลางจังหวัดสุรินทร์

นวัตกรรมสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง บวชนาคช้าง

ชื่อเรื่อง                 การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะและหนังสือเสริมประสบการณ์
                                ทางภาษา  เรื่อง  บวชนาคช้าง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
ผู้ศึกษา                   นางรัตนาภรณ์  เรืองไทย
ปีที่พิมพ์                ๒๕๕๒

บทคัดย่อ

                   การศึกษา การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะและหนังสือ
เสริมประสบการณ์ทางภาษา เรื่องบวชนาคช้าง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมาย เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะและหนังสือเสริมประสบการณ์ทางภาษา เรื่อง บวชนาคช้าง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ตามเกณฑ์  ๘๐/๘๐   เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะและหนังสือเสริมประสบการณ์ทางภาษา เรื่อง บวชนาคช้าง
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑  เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะและหนังสือเสริมประสบการณ์ทางภาษา เรื่อง
บวชนาคช้าง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑  ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๑ โรงเรียนบ้านท่าศิลา ตำบล
เมืองแก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต ๒ จำนวน ๗๔ คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ โรงเรียนบ้านท่าศิลา ตำบลเมืองแก อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต ๒ ภาคเรียนที่๑  ปีการศึกษา ๒๕๕๑ จำนวน ๓๕ คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากเป็นห้องที่ผู้ศึกษาทำการสอน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษามี ๕ ชนิด ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๒๐ แผน เวลา ๒๐ ชั่วโมง ไม่รวมทดสอบก่อนเรียนหลังเรียน
แบบฝึกทักษะการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด  กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๒๐ ชุด หนังสือเสริมประสบการณ์ทางภาษา เรื่อง บวชนาคช้าง
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๑ เล่ม ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น  แบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ มี ๔๐ ข้อ เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ ๔ ตัวเลือก  และ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน
ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะและหนังสือเสริมประสบการณ์ทางภาษา เรื่อง
บวชนาคช้าง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑

                   ผลการศึกษาพบว่า
๑.   การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะและหนังสือ
เสริมประสบการณ์ทางภาษา เรื่อง บวชนาคช้าง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
ที่มีประสิทธิภาพ  ๘๕.๐๕/๙๒.๖๔ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ที่ตั้งไว้
                         ๒. ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะและหนังสือ
เสริมประสบการณ์ทางภาษา เรื่อง บวชนาคช้าง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ 
มีค่าเท่ากับ  ๐.๘๗๔๐   แสดงว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ   ๘๗.๔๐
                         .  คะแนนเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ ๑  ที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะและหนังสือเสริมประสบการณ์
ทางภาษา เรื่องบวชนาคช้าง สูงกว่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .๐๕ 
                         ๔. ความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีต่อการเรียนด้วยแผน
การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะและหนังสือเสริมประสบการณ์ทางภาษา เรื่อง บวชนาคช้าง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด


วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

บทความวันครู

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่าครูมีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาบุคลากรให้กับประเทศชาติ ซึ่งบุคลากรเหล่านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติเกิดความเจริญก้าวหน้า  แต่ก็ยังมีบุคลากรอีกมากเช่นกันที่ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอ  อาจจะเป็นเหตุผลอันเนื่องมาจากความด้อยโอกาสทางสังคม  ฐานะทางเศรษฐกิจ  รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบ  และบุคลากรของประเทศชาติที่ยังไม่ได้รับการศึกษาจึงน่าจะมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันด้วยเพื่อที่จะได้เป็นกำลังเสริมในการที่จะได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศโดยอาจจะเป็นการพัฒนาทั้งทางตรงและทางอ้อม  และอีกอย่างที่ไม่ควรลืมก็คือวัฒนธรรมไทยที่ให้ความเคารพนับถือผู้ที่อาวุโสกว่า ให้ความเกรงใจ  ให้เกียรติ  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม  ยกตัวอย่างเช่น น้องให้ความเคารพพี่  ลูกให้ความเคารพพ่อแม่  หลานให้ความเคารพญาติผู้ใหญ่  และศิษย์ให้ความเคารพครู ซึ่งโดยภาพรวมก็คือผู้น้อยจะต้องเคารพผู้ใหญ่  แสดงถึงวิถีชีวิตของคนไทยว่ามีความประนีประนอมสูง  มีความยืดหยุ่นสูง  มีความอ่อนน้อมถ่อมตน  มีสัมมาคารวะ  โดยเฉพาะการยกมือไหว้อันเป็นเอกลักษณ์ที่ดีและน่าชื่นชมของคนไทยซึ่งในหลาย ๆ ประเทศ ก็ได้ชื่นชมประเทศไทยตรงจุดนี้  
                สำหรับครูผู้ซึ่งเป็นผู้ที่คอยอบรมสั่งสอนศิษย์ให้เป็นคนดี  คนเก่ง ของสังคมและประเทศชาติ ก็ควรที่จะได้รับการยกย่องชมเชยเป็นที่สุด  ครูเปรียบเสมือนผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทุก ๆ อาชีพ  เรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือแม่พิมพ์ของชาติซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ผู้น้อยจะต้องให้ความเคารพโดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ของครู  เพราะศิษย์เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดครู  รับเอาความรู้ที่ครูถ่ายทอดออกมา  ซึ่งความรู้ที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้นอาจจะเป็นความรู้ที่ถูกถ่ายทอดออกจากประสบการณ์ของครู  หรืออาจจะเป็นความรู้ที่ออกมาจากตำราที่ครูได้เรียบเรียงและถ่ายทอดออกมาให้ศิษย์  โดยคำว่าครูในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นครูที่สอนศิษย์แต่ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  แต่หมายความถึงครูทุกคนที่คอยให้ความรู้และประสบการณ์ในแต่ละด้าน  ที่เห็นได้ชัดคือ พ่อแม่ ที่ให้การอบรม  สั่งสอน  เลี้ยงดู  ให้คำแนะนำ  ให้คำปรึกษา แก่ลูกในทุก ๆ เรื่อง  ฯลฯ  ส่วนตัวของศิษย์ก็จะต้องเชื่อฟังครู  ทำตัวให้เป็นที่รักของครู  เมื่อครูบอกกล่าว  ตักเตือน  หรือชี้แนะแนวทางที่เป็นประโยชน์ก็ควรที่จะเปิดใจรับฟังอย่างจริงใจ  ไม่เสแสร้ง  เพราะว่าสิ่งที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากตัวครูจะไปสู่ศิษย์ในลักษณะของความจริงใจและเป็นการแบ่งปันโดยไม่มีการหวงความรู้แต่อย่างใด
                ซึ่งถ้าจะกล่าวถึงคำว่าการแบ่งปัน ก็คือการให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ  การให้เพราะความอยากที่จะให้  ให้แล้วมีความสุขใจ โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน  และอาจจะเป็นความคิดที่ว่าสิ่งที่ให้นั้นจะเกิดประโยชน์กับตัวผู้รับมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  และเมื่อศิษย์รับเอาความรู้  ประสบการณ์  คำแนะนำที่ดีจากครู  ศิษย์ก็ควรนำสิ่งเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้และถ่ายทอดให้กับผู้อื่นที่ยังไม่เข้าใจได้รับรู้และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับการใช้ชีวิต  เพราะฉะนั้นทั้งครูและศิษย์คือบุคคลที่ร่วมกันถ่ายทอด  แบ่งปัน  สร้างสรรค์  จึงทำให้เกิดเป็นเครือข่ายทางสังคม มีความกลมเกลียว  ผูกพัน  ระหว่างครูกับศิษย์ที่ช่วยทำให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนา  ทำให้บุคคลได้รับการขัดเกลาทางสังคม  สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้  มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น  มีเหตุมีผล  เป็นคนดี  คนเก่งของสังคม  ซึ่งจะโยงไปถึงเรื่องของความพอเพียงในสังคมไทย
                ความพอเพียงเป็นสิ่งที่คนในสังคมไทยปัจจุบันจะต้องให้ความสำคัญ  เพราะสังคมที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดี  เอารัดเอาเปรียบ  ไม่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันก็จะทำให้สังคมเกิดความขัดแย้ง  เกิดการทุจริตคอรัปชั่น ไม่มีความสงบเรียบร้อย  ประชาชนไม่มีความสุข  จึงได้มีกระแสเรื่องความพอเพียงเข้ามาในสังคมไทยอันเป็นแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ต้องการจะให้คนไทยรู้จักพึ่งพาตนเอง  รู้จักพัฒนาตนเองให้อยู่บนพื้นฐานของความพอเพียง  ซึ่งองค์กรหรือหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเริ่มนำเอาแนวคิดความพอเพียงมาปรับใช้ในองค์กรของตนเองแล้ว  เนื่องจากว่าที่ผ่านมาองค์กรมุ่งเน้นแต่ผลกำไรเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงประชาชนผู้บริโภค  ทำให้องค์กรไม่มีการเจริญเติบโตเท่าที่ควรและไม่ได้รับการยอมรับ  ดังนั้นองค์กรจึงได้เล็งเห็นความสำคัญของสังคมโดยรวม  จึงให้การแบ่งปันผลประโยชน์กับประชาชนในสังคม เพื่อที่จะทำให้เกิดความผูกพันระหว่างองค์กรกับประชาชนในลักษณะที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน  โดยใช้แนวคิดความพอเพียงที่จะทำให้บุคคล  องค์กร  สังคม  และประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน  ซึ่งการที่บุคคลจะมีความรู้และสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้ในการทำงานหรือการใช้ชีวิตนั้น  ขึ้นอยู่กับผู้ที่อบรมสั่งสอนและสร้างให้บุคคลประสบความสำเร็จนั่นก็คือครู

บทความทางวิชาการ